รายงานข้อมูลปริมาณฝนสะสมรายวันจากสถานีตรวจวัดปริมาณฝนของคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ ในช่วงวันที่ 2-7 สิงหาคม 2563 แสดงให้เห็นว่า อิทธิพลของพายุ “ซินลากู” (SINLAKU) เริ่มส่งผลทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2563 หลังจากนั้นกลุ่มฝนตกหนักได้เคลื่อนตัวแผ่ปกคลุมไปถึงพื้นที่ของภาคเหนือในวันที่ 3-5 สิงหาคม 2563 ตามการเคลื่อนตัวของพายุ โดยเฉพาะในวันที่ 3 สิงหาคม 2563 ที่มีฝนตกหนักมาก

ในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ แต่ทั้งนี้ปริมาณฝนในพื้นที่ได้ลดลงอย่างรวดเร็วในวันที่ 4-5 สิงหาคม 2563 นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วงที่พายุเคลื่อนเข้าใกล้ประเทศไทย ยังส่งผลทำให้ด้านตะวันตกของประเทศรวมถึงภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกเพิ่มขึ้น เนื่องจากอิทธิพลของพายุส่งผลทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้นด้วย ทั้งนี้จังหวัดที่มีฝนตกหนักมาก ตรวจวัดปริมาณฝนได้เกิน 90 มิลลิเมตรต่อวัน ในช่วงวันที่ 2 – 7 สิงหาคม 2563 ประกอบด้วย ภาคเหนือ บริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่

ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ ลำปางและอุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณจังหวัดกาฬสินธุ์ นครพนม บึงกาฬ มหาสารคาม ยโสธร เลยและหนองบัวลำภู ภาคกลาง บริเวณจังหวัดกาญจนบุรีและประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันออก บริเวณจังหวัดสระแก้วและตราด ภาคใต้บริเวณจังหวัดระนอง พังงาและชุมพร รายละเอียดเพิ่มเติม ดังแผนที่และตารางด้านล่าง

จากรายงานการส่ง SMS ผ่านระบบเตือนภัยอัตโนมัติของคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ จะเห็นได้ว่ามีการส่ง SMS เพื่อเตือนภัยพายุโซนร้อน “ซินลากู” (SINLAKU) ที่ระดับการเฝ้าระวังสูงสุด ตั้งแต่ช่วงค่ำ (18.00 น.) ของวันที่ 1 สิงหาคม 2563 ในขณะที่พายุเคลื่อนตัวอยู่ห่างจากประเทศไทยประมาณ 259 กิโลเมตร และมีการส่ง SMS แจ้งเตือนภัยอีกครั้งในช่วงดึก (23.00 น.) ของวันเดียวกัน ในขณะที่พายุเคลื่อนตัวอยู่ห่างจากประเทศไทย

ประมาณ 162 กิโลเมตร หลังจากนั้นได้มีการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยในระดับวิกฤต 2 ครั้งในคืนวันที่ 2 สิงหาคม 2563 เนื่องจากพายุได้เริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย หลังจากนั้นได้มีการแจ้งเตือนภัยระดับวิกฤตอีกครั้งในช่วงเช้าตรู่วันที่ 3 สิงหาคม 2563 และเตือนภัยระดับวิกฤตต่อเนื่องทุกชั่วโมงจนพายุสลายตัวไป ทั้งนี้ช่วงวันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 6 สิงหาคม 2563 มีการส่งข้อความเตือนภัยพายุ และปริมาณฝนในบริเวณที่เกิดฝนตกหนักทั้งใน

ระดับการเฝ้าระวังสูงสุดและระดับวิกฤต จำนวนทั้งสิ้น 386 ครั้ง โดยมีการเตือนภัยในระดับเฝ้าระวังสูงสุด จำนวน 207 ครั้ง ระดับวิกฤต 179 ครั้ง และหากแบ่งตามประเภทข้อมูล มีการเตือนภัยพายุที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย จำนวน 22 ครั้ง และเตือนภัยปริมาณฝน 364 ครั้ง ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีการส่ง SMS เพื่อเตือนภัยสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เนื่องจากเขื่อนขนาดใหญ่ยังสามารถรับน้ำได้